<strong>Dullahan อัศวินหัวขาด </strong>

           Dullahan เป็นที่รู้จักกันในฐานะอัศวินขี่ม้าหัวขาดในตำนานและเป็นหนึ่งในตำนานของ Celtic God Crom Dubh ของชาวไอริชอีกด้วย เรื่องราวของเขานั้นกล่าวว่าเขาคือ อัศวินควบม้าหัวขาดที่เดินทางท่องไปในดินแดนไอร์แลนด์เพื่อออกตามหาเหยื่อ  “ดูลาฮานแห่งตำนานเซลติก” Dullahanเป็นหนึ่งในนิทานที่มีชื่อเสียงที่สุดในตำนานของชาวไอริชและเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีเรื่องราวดังกล่าวก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก              แต่ในทางกลับกัน นักขี่ม้าหัวขาดก็ได้กลายเป็นตัวละครหลักที่ได้อยู่ในตำนานของวัฒนธรรมอื่นๆ อีกมากมาย เช่นเดียวกับในเรื่องราวสยองขวัญสมัยใหม่ ดูลาฮานเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากรูปร่างลักษณะของเขาที่ไม่มีหัว และมีเรื่องราวมากมายที่บ่งบอกว่าเขาสูญเสียศีรษะไปได้อย่างไร หนึ่งในนั้นคือ ครั้งเมื่อยังมีชีวิตเขาเคยเป็นทหาร แต่กลับถูกพรากชีวิตไปในสนามรบ               ส่วนการเดินทางสัญจรไปมาของเขานั้น ได้รับการพรรณนาว่าเขาได้พยายามค้นหาศีรษะที่หายไปชั่วนิรันดร์ ในขณะที่เขาควบม้าไปตามทาง แต่อย่างไรก็ตาม บางเรื่องก็บอกว่าเขามีหัวอยู่ในมืออยู่แล้วและเขาก็ขี่ม้าตามหาเหยื่อด้วยจุดประสงค์ที่เลวร้ายกว่านั้น เพราะเชื่อกันว่าตัวเขาขมขื่นกับความตายของเขาเอง จนต้องค้นหาวิญญาณดวงอื่นๆเพื่อพาเขาไปสู่ชีวิตใหม่ “รูปลักษณ์ของDullahan”                           โดยทั่วไปเขาจะปรากฏตัวพร้อมกับม้าสีดำ ไร้ศีรษะ หรือบ้างก็ยืนบนรถม้าศึกสีดำที่ลากโดยม้าสีดำ 6 ตัว ว่ากันว่าม้าเหล่านี้วิ่งเร็วและรุนแรงมาก จนมีไฟเล็ดลอดออกมาจากรูจมูกและกีบเท้าของพวกมันขณะที่เท้ากระทบกับพื้น รถม้าที่บางคนเชื่อว่าเขาขี่นั้นทำมาจากโลงศพ หลุมฝังศพ และกระดูก ซึ่งแสดงถึงเจตนาชั่วร้ายของเขาที่จะปลิดชีวิตผู้บริสุทธิ์                            เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำซึ่งปลิวไสวอยู่ข้างหลังของเขาขณะที่เขาขี่ม้าผ่านดินแดนต่างๆ และเป็นที่รู้กันว่าเขาถือศีรษะที่ถูกตัดออกไป ชูสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อค้นหาวิญญาณที่เขาปรารถนาจะพาไป ซึ่งศีรษะที่ถูกตัดขาดของเขานั้นมีลักษณะที่น่ากลัว เพราะมันปกคลุมไปด้วยเนื้อเน่าซึ่งส่งกลิ่นเหม็นของชีสที่เน่าเปื่อยและผิวของแป้งเหม็นอับ ปากแตกเป็นรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว หากเมื่อเขาได้ปลิดชีพผู้อื่น ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยไฟชั่วร้ายฉายแววความสุข และพุ่งออกไปมองหาเหยื่ออย่างต่อเนื่อง “ควรอยู่ให้ห่างจากเส้นทางของDullahan”                             ไม่มีประตูล็อกเมืองใดที่สามารถปิดได้สนิทเมื่อเขาเข้ามาใกล้ มันจะเปิดออกเพื่อให้ Dullahanผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย ซึ่งในขณะที่เขาเดินผ่านเมืองและหมู่บ้านต่างๆ หลังพระอาทิตย์ตกดินผู้คนก็ซ่อนตัวอยู่หลังม่าน เพราะถ้าหากใครมองมายังเขา […]

<strong>Dearg Due (เดียร์คดิว) แวมไพร์สาวผู้อาภัพรัก</strong>

                  Dearg Due กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวงามนางหนึ่งนามว่า “เดียร์ก-เดียร์” ซึ่งความงดงามของเธอเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกสารทิศ เธอสามารถแต่งงานกับผู้ชายคนใดก็ได้ที่เธอต้องการ แต่เธอกลับตกหลุมรักกับชาวนาธรรมดาเสียอย่างนั้น ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้พ่อของเธอไม่พอใจอย่างมากและไม่ยอมรับในตัวชาวนา จึงบังคับให้เธอแต่งงานกับชายเศรษฐีผู้มั่งคั่ง เพื่อผลประโยชน์ในอนาคต และเรื่องทางการเงินของครอบครัว ซึ่งสามีใหม่คนนี้ได้ปฏิบัติต่อ Dearg-due อย่างโหดร้ายทารุณทั้งทำร้ายร่างกาย และกักขังเธอไว้ และในที่สุดเธอก็ฆ่าตัวตาย ถึงแม้ว่าบางคนจะบอกว่ามันเป็นเพราะหัวใจที่แตกสลายที่ฆ่าเธอ                      การฝังศพของเธอเป็นไปอย่างเรียบง่าย และร่างของเธอก็ถูกฝังอยู่ในสุสานเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ใกล้กับต้นไม้สตรองโบว์ ในหมู่บ้านวอเตอร์ฟอร์ด ส่วนคนๆเดียวที่ไว้ทุกข์ให้กับการตายของเธอ ก็คือชายหนุ่มชาวนาอดีตคนรักของเธอ  ซึ่งเขามักจะมาเยี่ยมหลุมศพของเธอในทุกๆ วัน และสวดขอร้องอ้อนวอนให้เธอกลับมาหาเขา เรื่องราวบอกเราว่าหนึ่งปีผ่านไปหลังจากที่เธอเสียชีวิต เธอก็ได้ลุกขึ้นจากหลุมศพ ซึ่งความรู้สึกของเธอเต็มไปด้วยและอาฆาต และต้องการกลับมาล้างแค้น เธอได้ตรงไปที่บ้านพ่อของเธอในทันที  และในขณะที่เธอพบว่าเขากำลังหลับอยู่ เธอก็วางริมฝีปากไว้บนร่างของเขาและดูดพลังชีวิตออกมา และหลังจากนั้น เธอจึงเดินทางไปยังที่บ้านอดีตสามีของเธอ และฆาตกรรมเขาอย่างเลือดเย็น เพราะเธอไม่ได้ดูดลมหายใจแห่งชีวิตออกจากเขาเพียงเท่านั้น แต่เธอยังดูดเลือดของเขาอีกด้วย และว่ากันว่าเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายเข้ามา ก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง                    เป็นที่เลื่องลือกันว่า Dearg-dueมักจะลุกขึ้นจากหลุมศพของตัวเอง เพื่อหลอกล่อเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลายให้ติดกับก่อนจะดื่มกินเลือดของพวกเขาจนพวกเขานั้นเสียชีวิต ซึ่งเธอมักจะปรากฏกายในรูปของสาวสวย                     ในตำนานได้กล่าวเอาไว้ถึงช่วงเวลาที่เธอมักจะฟื้นจากความตาย บ้างก็บอกว่าเธอจะกลับมาพร้อมกับพระจันทร์เต็มดวงในทุกๆ วัน บ้างก็บอกว่าเธอฟื้นจากความตายปีละครั้งในวันครบรอบการเสียชีวิตของเธอ ส่วนเรื่องราวในเวอร์ชั่น Dearg-dueส่วนใหญ่อ้างว่าเธอสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับค้างคาวได้ ในขณะที่เวอร์ชั่นอื่นๆ ไม่ได้กล่าวถึงความสามารถในการแปลงกาย บางตำนานกล่าวว่าเธอไม่ดื่มเลือด แต่จะดูดเอาพลังชีวิตจากผู้ชายไปจนกว่าพวกเขาจะค่อยๆ […]

<strong>แม่ย่านาง ผู้ปกปักรักษายานพหนะ </strong>

           แม่ย่านาง คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยเคารพนับถือว่าคอยคุ้มครองปกป้องกันภัย ให้แก่พาหนะ เช่น รถ เรือ หรือเชื่อว่าสิงสถิตอยู่ในรถ ในเรือ และให้คุณให้โทษแก่ผู้ขับขี่โดยสารได้                ตำนาน ความเชื่อเกี่ยวกับแม่ย่านางนั้นมีอยู่ว่า เมื่อพระอิศวรและพระแม่อุมาเสด็จประพาสทะเล มีกุ้งได้ออกมาร้องเรียนว่าตนเองเป็นสัตว์ที่ร่างกายมีแต่เนื้อ เปลือกห่อหุ้มบาง ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ทำให้ถูกบรรดาสัตว์น้ำอื่นๆ จับกินเสียมาก พระแม่อุมาจึงประทานพรให้กุ้ง มีเลื่อยสองคมปลายแหลมอยู่บนหัว มีหอกปลายแหลมอยู่ที่หาง เมื่อสัตว์ใดกินเข้าไปจะได้ใช้หางเจาะออกมาให้เข็ดหลาบ ซึ่งอาหารที่กุ้งสามารถกินเองได้ จะต้องเป็นของที่ตายเน่าเปื่อยเท่านั้น              จากนั้นจึงทำให้ประชากรกุ้งจึงมีมากจนเสียสมดุล กั้งจึงมาชักชวนผสมพันธ์แล้วออกอุบาย ว่าให้กุ้งใช้อาวุธที่ติดตัวเจาะท้องเรือสำเภาให้จม เมื่อจีนคนไหนว่ายน้ำไม่เป็นก็จะจมน้ำตายกลายเป็นอาหาร ส่วนหัวแบ่งให้กั้ง ส่วนตัวกุ้งก็เอาไปกิน ด้วยเหตุนี้ เรือสำเภาจึงตกเป็นเป้าและได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก พวกนายสำเภาจึงได้วิงวอนขอให้เจ้าหมาจ่อช่วยบอกกล่าวเทพเจ้าให้มาช่วยเหลือ เจ้าหมาจ่อที่สงสารชาวเรือ จึงบอกให้นำของมาเซ่นไหว้พลีกรรม ได้แก่ ผ้าแพรสีแดง สีทับทิม สิ่งละสิบพับ กับดอกไม้ธูปเทียน สำหรับเจ้าที่           เมื่อได้รับของถวายแล้ว เจ้าหมาจ่อจึงให้นายทหารนำของไปถวายเจ้าทั้งแปดทิศ แล้วร่วมปรึกษาหารือกันว่าจะนำความไปกราบทูลพระอิศวรและพระแม่อุมาเทวีให้ตัดสินปัญหา […]

ผีหัวขาด ผีไทยในตำนาน

                       ผีหัวขาด ถูกจัดให้อยู่ในประเภทของ “ผีตายโหง” ที่เสียชีวิตในลักษณะที่หัวขาดกระเด็นหลุดออกไปจากร่างกาย ทำให้เกิดแรงอาฆาตมหาศาล หรือความยึดติดสิ่งที่ตัวเองค้างคาใจก่อนตาย ทั้งเรื่อง คนที่รัก คนที่แค้น หรือสถานที่ที่ผีหัวขาดได้เสียชีวิตลง ทำให้มักปรากฏตัวให้เห็นในลักษณะไร้หัว และร่างกายเต็มไปด้วยเลือดชุ่มโชกชวนสยดสยองเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่การกลายมาเป็นผีหัวขาดนั้น สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายรูปแบบ ผีหัวขาด จากการถูกประหาร                     ในสมัยก่อนการประหารนักโทษเต็มประด้วยความโหดเหี้ยม เพราะตั้งแต่สมัยโบราณมากมักจะใช้การประหารนักโทษด้วยดาบ หรือขวาน โดยตัดคอให้ขาดกระเด็นในครั้งเดียวต่อหน้าสาธารณะชน เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อที่คนอื่นๆจะได้ไม่ทำความผิดแบบเยี่ยงอย่างนักโทษเดียวกัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเพชฌฆาตจะทำการสะกดวิญญาณเฮี้ยนของนักโทษไม่ให้กลายร่างมาเป็นผีหัวขาดที่คอยออกหลอกหลอนผู้คน แต่ก็มีบางครั้งที่มนต์สะกดเอาไม่อยู่ทำให้เกิดเหตุการณ์ผีหัวขาดออกอาละวาดหลายครั้งเช่นกัน ผีหัวขาดจากการรบ                        การรบในสมัยโบราณเป็นการต่อสู้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อด้วยอาวุธหลักอย่างเช่นดาบ และในบางครั้งยังมีการตัดหัวศัตรูที่ถูกสังหาร เพื่อนำไปเป็นหลักฐานรับความดีความชอบกับเจ้านายฝ่ายตนด้วย อันเนื่องมาจากการตัดเอาไปแค่หัวนั้น ย่อมง่ายกว่าการแบกศพไปสำหรับการเดินทางที่ไม่ค่อยสะดวกนักในสมัยก่อนเป็นระยะเวลานาน ผีหัวขาดจากการถูกฆาตกรรม                 […]

<strong>ผีแม่หม้าย ผู้ชอบลวงวิญญาณชายหนุ่มไปเป็นบริวาร</strong>

ตำนานผีแม่หม้าย             ผีแม่หม้าย เรื่องของผีแม่หม้ายนั้นเป็นเรื่องเล่าที่มีการเล่าขานกันมาอย่างยาวนานและถึงแม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้คนที่มีความเชื่อว่ามีผีแม่หม้ายมาเอาชีวิตชายหนุ่มในหมู่บ้านไป                       คนโบราณเชื่อกันว่า “ผีแม่หม้าย” ในตอนที่เป็นมนุษย์เป็นหญิงร่านที่นิยมไปเป็นชู้กับสามีของคนอื่น ทำให้ครอบครัวของคนอื่นต้องร้าวฉานและแยกทางกัน แต่บ้างก็เชื่อว่า ผีแม่หม้ายเป็นวิญญาณของโสเภณีที่ตายไปแล้วแต่จิตก็ยังคงเต็มไปด้วยตัณหา ทำให้ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้จนกลายมาเป็นวิญญาณเร่ร่อน              ในสมัยก่อนถ้าหากหมู่บ้านใด มีผู้ชาย “ไหลตาย” ติดต่อกัน คนในหมู่บ้านจะเชื่อกันว่า เกิดจาก ผีแม่หม้าย ออกมาอาละวาด และส่วนมากผู้ชายที่ตกเป็นเหยื่อของผีแม่หม้าย ก็มักจะมีอายุประมาณ 20 ปี ขึ้นไป โดยเฉพาะคนที่ยังโสด พบว่ามีสถิติการเสียชีวิต มากกว่าผู้ชายที่แต่งงาน มีครอบครัวแล้ว เรื่องเล่าเกี่ยวกับ ผีแม่หม้าย                   เรื่องเล่าของผีแม่หม้ายนั้น มักจะเกิดขึ้นทางภาคอีสาน และจะเกิดขึ้นตามหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านชนบทส่วนใหญ่โดยมีความเชื่อกันว่าหมู่บ้านไหนที่มีผู้ชายตายติดต่อกันหลายๆคน แสดงว่ามีผีแม่หม้ายออกอาละวาดมาเอาตัวชายหนุ่มในหมู่บ้านไปทุกคนจะต้องมีการหาวิธีการที่จะแก้ไขไม่ให้ผีแม่หม้ายมานำชีวิตของผู้ชายในหมู่บ้านไปได้สำหรับความลึกลับนี้มักจะพบว่าผู้ชายในหมู่บ้านที่ตายมักจะมีอายุราวๆ 20 ปีถึง 50 ปีเท่านั้น                    และเมื่อใดก็ตามที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าผีแม่หม้ายอาละวาด ผู้ชายในหมู่บ้านก็มักจะเสียชีวิตกันอย่างต่อเนื่องโดยส่วนใหญ่จะมีอาการไหลตายนั่นก็คือนอนหลับในตอนกลางคืน และเมื่อถึงเวลาเช้าก็จะพบว่าชายหนุ่มเหล่านั้นก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ซึ่งอาการนี้ชาวบ้านต่างก็เรียกว่าอาการไหลตาย โดยคาดการณ์ว่าผีแม่หม้ายมาเอาวิญญาณชายหนุ่มเหล่านี้ไป และหลายหมู่บ้านก็ได้มีวิธีการที่จะแก้ไขไม่ให้ผีแม่หม้ายมาเอาตัวชายหนุ่มของบ้านของตนเองไป                         ซึ่งบางครั้งหากมีเหตุการณ์ผีแม่หม้ายอาละวาดบางบ้านก็จะนำป้ายมาแขวนไว้ที่หน้าบ้านเขียนว่า “บ้านนี้มีแต่ผู้หญิง”   หรือบางๆก็จะมีการนำ “ปลัดขิก” มาห้อยไว้ที่หน้าบ้านซึ่งเมื่อผีแม่หม้ายมาเห็นมันก็จะเอาไปแทน ทำให้ชายเจ้าของบ้านไม่เสียชีวิต บางหมู่บ้านก็จะใช้วิธีการนำ “เสื้อสีแดง” มาแขวนไว้ที่หน้าบ้านซึ่งก็ถือว่าหากผีแม่หม้ายมาอยู่ที่บ้านใครและเห็นเสื้อสีแดงแขวนอยู่แสดงว่าบ้านนั้นไม่มีผู้ชาย ทำให้ผีไม่เอาชีวิตคนในบ้านไป       […]

ผีนางรำ ผีที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย

                       ผีนางรำ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ตัวละครผีสาวสวมมงกุฎตาแดงนั้นได้ออกฤทธิ์เดชให้ผู้ชมได้อกสั่นขวัญแขวนทั้งในภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์รวมกันถึง 25 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง ผีสามบาท (2544) อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต (2545) ผีคนเป็น (2549) หอแต๋วแตก แหกกระเจิง (2552) หรือละครสุดฮิตเมื่อปี 2558 อย่างนางชฎาและห้องหุ่น                          ด้วยภาพฉายซ้ำที่มักให้ผีนางรำปรากฎตัวเพื่อตามหลอกหลอนหรือเข่นฆ่า อาจทำให้หลายๆ คนคิดว่าผีนางรำเป็นแค่ตัวละครที่คอยคุกคามความรู้สึกให้ผู้ชมได้สยองกันเพียงเท่านั้น แต่ผีไทยประเภทนี้สามารถสะท้อนวิธีคิดในสังคมไทย และมีความหมายมากกว่าความน่าขนลุกขนพอง ความผูกพันทางด้านความเชื่อที่ไม่มีวันหนีพ้น                         สำหรับผู้ผลิตสื่อ “ผีนางรำ” เป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่สะท้อนความเป็นไทยได้อย่างสมบูรณ์ ในมุมมองร่วมของสมาชิกทีมงานเดอะช็อค รายการวิทยุที่ให้ผู้ฟังโทรมาเล่าถึงประสบการณ์เรื่องราวเร้นลับยอดฮิต ได้แก่ กพล ทองพลับ เจ้าพ่อรายการผี ไพโรจน์ ดำมินเศก หรือ ขวัญ น้ำมันพราย และณภัทร เหมวงศ์ หรือ นัท เดอะช็อค ภาพวิญญาณหญิงสาวในชุดไทยออกลีลาร่ายรำ คือภาพแทนของความผูกพันทางด้านความเชื่อที่คนไทยไม่มีวันหนีพ้น “คนไทยมักจะคุ้นเคยกับนางรำ ชุดไทย หรือตุ๊กตานางรำที่เห็นอยู่ตามศาลพระภูมิ เพราะมันเป็นความเชื่อที่เราผูกพัน มันเลยทำให้สามารถผูกเรื่องเข้าไปได้ และนาฏศิลป์ไทยนั้นมีความขลัง ความเก่า และความโบราณ เลยทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น”  […]

ผีถ้วยแก้ว การละเล่นอาถรรพ์

                   ผีถ้วยแก้ว เป็นการละเล่นโบราณอย่างหนึ่งตามความเชื่อส่วนบุคคล โดยเชื่อว่าเป็นการอัญเชิญวิญญาณ หรือผีมาสถิตในถ้วยแก้ว แล้วสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ กับวิญญาณนั้นตามแต่จุดประสงค์ของผู้เล่น ผู้เล่นจะทราบคำตอบของคำถามจากการเคลื่อนที่ของถ้วยแก้วไปบนตัวอักษรที่เขียนเอาไว้บนแผ่นกระดาษ ตำนานของ ผีถ้วยแก้ว ตามหลักพระพุทธศาสนา                     ในคำสอนตามคำภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่า จิตของมนุษย์นั้นจะทำงานอยู่ตลอดเวลา ในเวลาที่เราคิดเรื่องใด ๆ ก็ตาม จะมีกระแสจิตกระจายออกมารอบ ๆ ซึ่งทำให้ผู้ที่ทำสมาธิจนสำเร็จฌาน สมาบัติ หรือได้สำเร็จวิชา “เจโตปริยญาณ” (หยั่งรู้วาระจิต) จะสามารถรับรู้กระแสความคิดของคนทุกคนได้                      ซึ่งธรรมชาติของกระแสความคิดนี้มีทั้งในมนุษย์และสัตว์ทั่วไปด้วย ผู้ที่รับรู้กระแสความคิดของมนุษย์ได้นี้ นอกจากผู้ได้สำเร็จวิชาเจโตปริยญาณแล้ว ก็ยังมีพวกเทพ เทวดา ต่าง ๆ ด้วย รวมไปถึงพวกวิญญาณทั้งหลาย ที่ยังเร่ร่อนอยู่ในมิติที่ละเอียด ซึ่งตาของมนุษย์ธรรมดาจะไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งพวกเหล่านี้จะสามารถรับรู้กระแสความคิดของมนุษย์ได้เช่นกัน                      ก่อนเริ่มเล่นผีถ้วยแก้ว จะต้องมีการอัญเชิญวิญญาณเข้ามาในถ้วยแก้วเสียก่อน โดยผู้ที่เล่นจะต้องตั้งจิตเป็นสมาธิ เอานิ้วชี้แตะไว้บนถ้วยแก้วที่คว่ำลง จากนั้นผู้เล่นจะตั้งคำถามที่อยากรู้เกี่ยวกับวิญญาณที่สถิตอยู่ในแก้ว และจะสามารถรู้คำตอบได้จากการเคลื่อนที่ของถ้วยแก้วไปบนกระดานที่มีตัวอักษรต่าง ๆ วรรณยุกต์ รวมถึงตัวเลข และมีตำแหน่งที่ใช้สำหรับพักก่อนจะอัญเชิญวิญญาณเข้ามาสิง ซึ่งวิญญาณจะบังคับถ้วยแก้วให้เดินไปตามตัวอักษรแต่ละตัว แล้วผสมกันจนออกมาเป็นคำที่ได้ความหมาย อุปกรณ์การเล่นผีถ้วยแก้ว – กระดาษขาวสำหรับเขียนตารางตัวอักษร– ถ้วยแก้วขนาดเล็ก– ธูป เทียน– เครื่องเซ็น วิธีเล่นผีถ้วยแก้ว – […]

ผีตาโขน ผีตามคน

                   ผีตาโขน เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคอีสานของประเทศไทย            ซึ่งมักจะจัดงานมากกว่าสามวันในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม และกรกฎาคม โดยจัดขึ้นในวันที่ได้รับเลือกจากคนทรง ประจำเมือง ซึ่งงานบุญประเพณีพื้นบ้านนี้มีชื่อเรียกว่า บุญหลวง โดยแบ่งออกเป็นเทศกาล ผีตาโขน, ประเพณีบุญบั้งไฟ และงานบุญหลวง (หรือ บุญผะเหวด)                         ผีตาโขนนั้น เดิมมีชื่อเรียกว่า ผีตามคน เป็นเทศกาลที่ได้รับอิทธิพลมาจากมหาเวสสันดรชาดก ชาดกในทางพระพุทธศาสนา ที่ว่าถึงพระเวสสันดร และพระนางมัทรี จะเดินทางออกจากป่ากลับสู่เมืองหลวง บรรดาสัตว์ป่ารวมถึงภูติผีที่อาศัยอยู่ในป่านั้น ได้ออกมาส่งเสด็จด้วยอาลัย                         กำหนดการในงานประเพณีบุญหลวง และงานผีตาโขนจะมีหลักๆ 3 วันด้วยกันคือ วันที่ 1 เป็น เทศกาลผีตาโขน ซึ่งเรียกวันนี้ว่า วันรวม หรือ วันโฮม จะมี พิธีเบิกพระอุปคุต พิธีการบวชพราหมณ์ เพื่อเชิญพระอุปคุต พิธีแห่จากวัดโพนชัย ไปริมฝั่งแผ่น้ำหมันเพื่อเชิญพระอุปคุต พิธีงมพระอุปคุตจากแม่น้ำหมันอัญเชิญขึ้นประดิษฐานหออุปคุต วัดโพนชัย พิธีเบิกพระอุปคุต พร้อมยิงปืนทั้ง 4 ทิศ พิธีบายศรีสู่ขวัญเจ้าพ่อกวนและเจ้าแม่นางเทียม วันที่ 2 เป็น วันแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง หรือ ขบวนแห่ผีตาโขน พิธีสู่ขวัญพระเวส อัญเชิญพระเวสเข้าเมือง ขบวนแห่พระเวสเข้าเมือง (ขบวนแห่ผีตาโขน) เจ้าพ่อกวนและคณะ นำขบวนแห่ไปวัดโพนชัยแห่รอบโบสถ์ 3 รอบ เจ้าพ่อกวนและคณะจุดบั้งไฟขอฝน คณะผู้เล่นบุญนำหน้ากากผีตาโขนน้อยและผีตาโขนใหญ่ทิ้งลงแม่น้ำหมัน วันที่ […]

ผีกะ ผีคุ้มตระกูลชาวล้านนา

                   ผีกะ เป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ซึ่งพวกนี้จะมีลักษณะคล้ายผีปอบ คือเข้าสิงในคน และชอบกินของสดของคาว ซึ่งคนที่เลี้ยงผีกะจะเป็นคนที่มีวิชาอาคม เล่นคุณไสยและเล่นของ ผีกะมักจะถูกเลี้ยงไว้ในหม้อดิน โดยมีผ้ายันต์สีขาวปิดปากหม้อไว้ โดยจะวางไว้บนเพดานบ้าน และเจ้าของจะเซ่นผีกะด้วยไข่ดิบวันละฟอง                   แต่เดิมคนที่เริ่มนำผีกะมาเผยแพร่ คือพวกนักแสดงลิเก หรือพวกนักดนตรี เรียกว่าผีกะพระ-นาง ซึ่งผีกะชนิดนี้มีลักษณะคล้ายวอกหรือค่าง ตัวเล็ก ๆ สองตัว มักจะนั่งบนบ่าคนเลี้ยง มีคุณประโยชน์ตรงที่ถ้าหากใครเลี้ยงไว้ไม่ว่านักแสดงจะขี้เหร่แค่ไหน พอตกกลางคืนมันจะเลียหน้าทำให้ยิ่งดึกนักแสดงคนนั้นยิ่งงดงาม ผีกะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ หากใครเลี้ยงไม่ดี ปล่อยให้ผีกะอด ๆอยาก ๆ มันก็จะทำให้เจ้าของกลายสภาพเป็นกึ่งคนกึ่งภูติ ชอบสิงสู่ชาวบ้านกินตับไตไส้พุง ต้องหาหมอผีมาไล่ออกไปเป็นประจำ ผีกะมีหลากหลายชนิดซึ่งได้แก่ ผีกะพระ-นาง ผีกะต้นฉบับดั้งเดิม ไม่มีใครรู้ว่ามาจากที่ไหน แต่เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน เพื่อให้มันเรียกคนดูมาชมการแสดง ทำให้คนดูหลงใหลในการแสดงของนักแสดงคนนั้น ๆ แม้ว่ากลางวันจะขี้เหร่แค่ไหน แต่ตอนกลางคืนผีกะสามารถทำให้นักแสดงคนนั้น ๆสวยหรือหล่อหยาดฟ้ามาดินได้ ผีกะ ดง                  คำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่าผีกะตนนี้ มีอยู่ในนิทานพื้นบ้าน ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่                ผีกะชนิดนี้มีความดุร้าย วิ่งไวดุจลมพัด มักออกหากินเป็นฝูงในยามพลบค่ำ แต่น้ำลายของผีกะชนิดนี้วิเศษมาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด […]

กองกอย ผีหวงสมบัติ

                          กองกอย เป็นผีป่าชนิดหนึ่ง มีลักษณะรูปร่างไม่เป็นที่ปรากฏชัด แต่โดยมากจะอธิบายว่าเป็นผีที่มีขาข้างเดียว เคลื่อนที่โดยการกระโดดไปด้วยขาเดียว และส่งเสียงร้องว่า “กองกอย ๆ” อันเป็นที่มาของชื่อ แต่บ้างก็ว่ามีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน หรือเชื่อว่ามีหน้าตาคล้ายลิงหรือค่าง บ้างเรียกว่า ผีโป่ง หรือ ผีโป่งค่าง จากการสันนิษฐาน ในความเชื่อเรื่องผีโป่งหรือผีกองกอย  ว่ามันคือค่างแก่หน้าตาน่าเกลียดที่ไม่สามารถขึ้นต้นไม้ได้ และยังมีความเชื่อของคนบางกลุ่มว่า ถ้าได้ดื่มเลือดค่างจะทำให้ร่างกายคงกระพันเป็นอมตะ แต่บางทีสัตว์ป่าชนิดอื่นที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากปกติ ก็ถูกเชื่อว่าเป็นผีกองกอย   และเชื่อกันว่า ผีกองกอยจะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนค้างแรมในป่า วิธีการป้องกันคือ ให้นอนไขว้ขาหรือชิดเท้ากันทั้งสองข้างและอย่านอนเอาขาหรือเท้าออกนอกเต็นท์นอน เรื่องเล่าของ กองกอย                            หลวงปู่แหวนสุจิณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ เคยเล่าว่า เมื่อครั้งท่านไปธุดงค์ในป่าดิบทึบในแขวงคำม่วนประเทศลาว พร้อมกับหลวงปู่ตื้ออจลธมฺโม ท่านทั้งสองได้เคยผจญกับฝูงผีกองกอยมากมายในคืนหนึ่ง โดยผีกองกอยนี้มีรูปร่างเหมือนเด็กอายุประมาณ13-14 มีรูปร่างผอม แต่พุงป่อง ผิวคล้ำ ผมเผ้ารุงรัง จมูกบี้แบน  มีอาวุธถือมาในมือคล้ายหน้าไม้หรือธนูอันเล็ก ๆ ส่งเสียงร้อง “ก๋อย ก๋อย ก๋อย” พยายามจะเข้ามาทำร้ายท่านทั้งสอง แต่ทว่าพวกท่านได้นั่งสมาธิ และด้วยปาฏิหาริย์ เหล่าผีกองกอยก็ไม่อาจทำอะไรท่านได้ และเมื่อถึงรุ่งเช้า ในที่สุดผีกองกอยก็ต้องยอมแพ้ และขอขมาพวกท่าน และยังได้นิมนต์ท่านทั้งสองไปยังที่อาศัยของพวกตน พวกท่านจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว                 ผีกองกอยฝูงนี้คือ คนป่าเผ่าข่าระแด […]