Nekomata แมวผีญี่ปุ่น

Nekomata สำหรับประเทศญี่ปุ่นแล้ว พวกเขามักจะมีความคิดว่าแมวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตและจิตวิญญาณโดยเฉพาะมักจะให้โทษ หลังจากที่ yokai ตัวนั้นมีสีเข้มและมีความดุร้ายกว่า bakeneko มาก เนโกะมาตะ หรือ แมวผี มีเรื่องเล่ามาว่า เมื่อแมวบางตัวมีอายุมากจะมีตบะสูงขึ้นแล้วกลายเป็นแมวผี ที่เรียกว่าบาเกเนโกะ ซึ่งก็เล่าว่ามีหลายวิธีที่มันจะสามารถกลายเป็นบาเกเนโกะได้ เพราะทันทีที่หางมันแยกออกเป็น 2 หาง มันก็จะพัฒนากลายเป็นเนโกมาตะ ซึ่งสามารถขยายตัวได้ถึง 1 เมตร และส่วนมากจะเดินด้วยขาหลัง 2 ขา และเป็นผีที่ไม่ยอมให้ใครมาดูถูก ถ้าใครปฏิบัติกับมันไม่ดี มันจะจดจำอย่างฝังใจไม่ลืม และเพื่อแก้แค้นคนที่ทำผิด วิญญาณของพวกมันจึงมักหลอกหลอนเหล่ามนุษย์ด้วยการมาเยี่ยมจากญาติที่ตายไปแล้ว โดยปกติวิญญาณเหล่านี้จะปรากฏเป็นผู้หญิงที่มีอายุมาก และประพฤติตัวไม่ดีในที่สาธารณะ ทำให้นำมาซึ่งความโศกเศร้าและความมุ่งร้ายทุกที่ที่พวกเขาเดินทางไป ความโหดร้ายของเนโกะมาตะนั้นได้มีมาเป็นเวลาช้านาน ว่ากันว่าการที่มีคนตายยกศพ หรือบ้างเจ็ดชั่วอายุคนจะถูกสาปแช่ง ก็เป็นผลมาจากการฆ่าแมวหนึ่งตัว เชื่อกันว่าการเต้นรำของเนโกมาตะสามารถควบคุมคนตายได้ และยังเชื่ออีกว่าเนโกมาตะเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ด้วย ชาวญี่ปุ่นจึงมีความเชื่อบางอย่างที่ว่าจะตัดหางแมวออกเสีย เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นเนโกมาตะ เรื่องเล่าของเนโกมาตะ มักจะแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ บ้างก็เชื่อว่าเนโกมาตะจะกินแม้กระทั่งเจ้านายของตัวเอง และการที่ทิ้งแมวไว้กับศพเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากเพราะมันอาจจะปลุกศพให้คืนชีพก็เป็นได้ แถมมันยังควบคุมศพได้อีกต่างหาก แต่ขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่เล่าที่ว่าเนโกมาตะได้หลงรักเจ้านายของตนเอง จึงแปลงร่างเป็นสาวงามเพื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วย ลักษณะของพันธุ์บาเคเนโกะนั้นมีขนาดใหญ่มหึมาพันธุ์ ส่วนพันธุ์สองหางจะเรียกว่าเนโกะมาตะ ซึ่งเนโกะมาตะมักจะพบได้ในเมืองและหมู่บ้านต่างๆ และเกิดในลักษณะเดียวกันกับบาเคเนโกะ แต่สำหรับบาเคเนโกะจะเกิดขึ้นได้เฉพาะแมวที่แก่มีอายุมากแล้ว และมีขนาดตัวใหญ่กว่าตัวอื่นๆ มีหางยาวที่สุดรวมถึงฉลาดที่สุดด้วย จึงจะกลายเป็นแมวผีที่ทรงพลังได้ แต่เมื่อเนโกะมาตะแปลงร่างเป็นโยไค หางของมันจะแยกตรงกลางออกเป็นสองหางเหมือนกันกับบาเคเนโกะ […]
คาไมทาจิ ภูติแห่งสายลมร้าย ฝากรอยไว้ แต่ไม่เจ็บ

คาไมทาจิ แค่ชื่อก็เดาได้ไม่ยากใช่ไหมคะว่า เจ้าของชื่อนี้ น่าจะมาจากประเทศญี่ปุ่น ดินแดนแห่งอนิเมะขึ้นชื่อ ซึ่งจะเป็นคน ปีศาจ หรือเทพเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ให้ติดตามอ่านในบทความกันได้เลยนะคะ ซึ่งทางเว็บ demongen ได้รวบรวมประวัติ ตำนาน เรื่องเล่า มาให้เพื่อน ๆ ได้ศึกษาถึงความน่าสนใจนั้น ๆ กระทั่งนำมาเล่าสู่กันฟังในกลุ่มผู้สนใจรุ่นหลังค่ะ ประวัติ สายอนิเมะหรือผู้ที่ชื่นชอบในความเป็นญี่ปุ่น ต่างรู้จักปีศาจตนนี้กันเป็นอย่างดี เรียกได้ว่า ทั้งเกม ภาพยนตร์ รวมถึงการ์ตูน ต้องมีปีศาจตนนี้พ่วงมาด้วยเสมอ โดยเฉพาะ การปรากฎตัวของภูติตนนี้ในเกมเรื่อง final fantasy ยิ่งตอกย้ำทำให้เราที่เป็นคนดู รู้จักปีศาจตนนี้มากขึ้นอีกเท่าตัวกันเลยทีเดียว ภูติตนนี้ คือภูติแห่งลม เราจะพบเจอภูติแห่งสายลมที่หวังร้ายก็ต่อเมื่อ เดินเข้าไปเที่ยวในป่าหรือขุนเขาเท่านั้น และเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่า มีบาดแผลเกิดขึ้นตามร่างกายทว่าไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด นั่นหมายความว่า เราได้เผชิญหน้ากับภูติแห่งสายลมโดยไม่รู้ตัวค่ะ ในส่วนของชื่อ ภาษาญี่ปุ่น ใช้คำว่า “เคียว” “อิตาชิ” แปลว่า “ตัววีเซิล” เป็นภูติลม เพราะฉะนั้น จะสามารถเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายลม คาไมทาจิ ตำนาน กำเนิดภูติตนนี้มีอยู่หลายตำนาน […]
ยูกิอนนะ ตำนานสาวหิมะ ภูติแห่งฤดูหนาว ใครหลงใหลเป็นต้องตาย

ยูกิอนนะ คำว่า ยูกิ ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า หิมะ และแน่นอน ชื่อประมาณนี้ สามารถบอกเราได้เลยว่า เธอต้องเป็นหญิงสาวแน่ ๆ และก็คงเดาได้ไม่ยาก แต่แม้จะรู้ เธอเป็นผู้หญิง ทว่า ก็คงมีคำถามตามมาอยู่ดี เธอคือใคร ? มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ? ใครที่กำลังหาคำตอบ ทาง เว็บ demongen ได้รวบรวม ข้อมูลไว้แล้วค่ะ ประวัติ ความเป็นมา เป็นชื่อที่ชาวญี่ปุ่นไม่ว่าจะภูมิภาคใดก็ตาม ใช้เรียกภูติตนนี้ว่า สาวหิมะ ซึ่งลักษณะของภูติตนนี้ มีความสวยสดงดงามตราตรึงใจ มาในชุดกิโมโนสีขาวดูสะอาดตา ตามความเชื่อของชาวอาทิตย์อุทัยที่ว่า เป็นจิตวิญญาณของฤดูหนาวค่ะ การปรากฎตัว นางจะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อ วันนั้นมีพายุหิมะบนขุนเขา ในเวลาต่อมา นางจะใช้ความสวยของนางล่อหลอกผู้ชายให้มาหลงใหลและพาผู้ชายพวกนั้นเข้าสู่ความตายค่ะ ยูกิอนนะ ตำนานเรื่องเล่า ถ้าจะพูดถึงตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของสาวหิมะมีอยู่หลายตำนานด้วยกัน อันนี้ขึ้นอยู่ที่ว่า ใครไปรับรู้มาจากไหนค่ะ บางตำนานเล่าว่า เป็นดวงวิญญาณของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ในขณะที่ยังมีชีวิต ทว่า หญิงสาวผู้นั้นกลับประสบโชคร้าย โดนหิมะทับจนเสียชีวิต ในกาลต่อมา เมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้คนหลงในหุบเขาในวันที่มีพายุหิมะ ภูติตนนี้จะยิ้มหวานให้ก่อน พร้อมกันนั้น […]
แวมไพร์ ตำนานผีดิบผู้เป็นอมตะ ราชาแห่งปีศาจผู้ไม่มีวันตาย

แวมไพร์ เป็นตำนานแห่งความสยองที่ถูกเล่าขานกันมาอย่างยาวนานนับพันปี ถึงราชาปีศาจที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและเยือกเย็น เป็นเรื่องเล่าและตำนานที่ถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบภาพยนตร์ ซีรีส์และผลงานด้านต่างๆ ที่ไม่เคยตกยุค โดยผีชนิดนี้ตามความเชื่อพบว่าเป็นผีดิบที่จะมีหน้าตาและรูปร่างที่เหมือนกับมนุษย์ แต่มีชีวิตที่เป็นอมตะและไม่มีวันดับสูญ ความน่ากลัวของพวกเขาคือการดื่มเลือดมนุษย์ด้วยฟันอันแหลมคม มักจะอาศัยอยู่ในช่วงระยะเวลากลางคืน หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงกลางวัน เต็มไปด้วยอำนาจวิเศษในการแปลงกายเป็นสิ่งต่างๆ ผีดิบ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชาของปีศาจ เต็มไปด้วยเรื่องเล่าขานมากมายที่แสดงถึงความน่ากลัวและการมีอยู่จริงของพวกเขา มีเรื่องอะไรที่น่าติดตามบ้าง ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักปีศาจเหนือกาลเวลาที่แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีทางลบความน่ากลัวออกไปได้เลย แวมไพร์ ผีดิบที่มากด้วยพลัง ปีศาจดูดเลือดผู้เหี้ยมโหด Vampire เป็นผีดิบ ตามความเชื่อของชาวยุโรปยุคกลาง ที่โดยปกติแล้วจะมีหน้าตาและรูปร่างที่เหมือนกับมนุษย์ การพูดและกริยาท่าทางที่ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่จุดเด่นของปีศาจชนิดนี้คือการดื่มเลือดมนุษย์แทนการทานอาหาร เหล่าผีดูดเลือดเพื่อใช้หล่อเลี้ยงร่างกายและการมีชีวิตอยู่ด้วยฟันอันแหลมคม เชื่อกันว่า ปีศาจชนิดนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด ชีวิตของพวกเขาเป็นอมตะและไม่มีวันตาย อีกทั้งยังมาพร้อมกับพลังวิเศษที่สามารถแปลงกายได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ค้างคาว, หมาป่า, งูพิเษ, นกฮูก หรือ หมาจิ้งจอก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพละกำลังที่ราวกับชายกำยำจำนวน 20 คน สามารถหายตัวได้ รวมถึงควบคุมสิ่งของได้อย่างอิสระ เรียกได้ว่าเป็นปีศาจที่มากไปด้วยอำนาจวิเศษ ที่ส่งผลให้ Vampire ไม่สามารถมีใครลบล้างความยิ่งใหญ่ลงได้เลย การมีอยู่ของ ผีดูดเลือด คือการออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลากลางคืนที่จะมีการปรากฏตัวขึ้น แต่ตอนกลางวันจะหลบซ่อนอยู่ภายในหลุมและโลงศพของตนเอง เนื่องจากมีอาการแพ้แสงแดดและดวงอาทิตย์ โดยเหล่าผู้คนในยุคกลาง ชาวยุโรปจะมีความกลัวผีดูดเลือดอย่างมาก […]
Bigfoot ไอตีนโตในทวีปอเมริกา

Bigfoot บิ๊กฟุตหรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “ไอ้ตีนโต” รูปร่างคล้ายกับมนุษย์หรือบางคนก็บอกว่ามีลักษณะคล้ายกับลิงขนาดใหญ่มีขนดกทั่วร่างกาย แขนขายาว มีดวงตาแหลมคมราวกับมนุษย์ ขนาดตัวของมันใหญ่เกินกว่าจะเป็นมนุษย์ได้ มีคนบรรยายไว้ว่ามันมีความสูงถึงแปดถึงเก้าฟุต น้ำหนักราว ๆ แปดปอนด์ ทำให้มันมีพละกำลังที่มหาศาล บิ๊กฟุตถูกพบในบริเวณสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ชื่อของมันก็ถูกเรียกต่างออกไปตามแต่ละชนเผ่าของอินเดียนแดง เช่น มายาเด็กเท็ก ที่แปลว่า มนุษย์ขนดก หรือ มนุษย์กิ่งไม้ หญิงตะกร้า หรือ ยายาริ และคำว่า แซสแควตช์ เดิมทีบิ๊กฟุตเป็นตำนานเรื่องราวที่ปรากฎอยู่บนภาพเขียนสีบนผนังถ้ำของอินเดียนแดง โดยมีความเชื่อว่าพวกมันอยู่กับเป็นครอบครัว ผู้นำครอบครัวหรือที่เราคุ้นว่าคือพ่อจะทำหน้าที่ออกล่าหาอาหาร จับคนหรือติดตามผู้คนที่มีเสบียงเพื่อเอาอาหารกลับมาเลี้ยงคนในครอบครัวนั่นเอง ซึ่งนี้จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าบิ๊กฟุตถูกมองเป็นสัตว์ดุร้ายหรือนักล่า […]
Beast of busco เต่ายักษ์แห่ง อินเดียนา

beast of busco คือตำนานของสัตว์เดรัจฉานปริศนาที่ถูกกล่าวอ้างเป็นเต่ายักษ์ตัวหนึ่ง ซึ่งถูกพบโดยชายเจ้าของฟาร์มออสการ์ฟลัก (Oscar Fulk) ในเมืองชูรีบัสโค รัฐอินเดียนา (Churubusco, Indiana) ชายผู้นี้อ้างว่าเค้าเจอเจ้าเต่ายักษ์ในช่วงปี 1949 เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนมันก็กลายเป็นที่สนใจของเหล่านักล่าสัตว์ในหลายประเทศ แต่ก็ไม่มีใครเคยพบเจ้าเต่าตัวนี้เลย ย้อนกลับไปในช่วงปี 1984 ชาวชูรีบัสโค (Churubusco Citizens) หลายคนเจอเจ้าสัตว์ประหลาดบัสโคนี้ เพราะกำลังเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจและกำลังเป็นที่พูดถึงในเวลานั้น ในบันทึกเล่าว่า อร่า บลู และ เชอร์เลย วิวสัน (Ora Blue and Charley Wilson) รายงานพวกเขาได้เจอเจ้าเต่ายักษ์ที่มีน้ำหนักถึงห้าร้อยปอนด์อยู่ในบริเวณเมืองชูรีบัสโคในขณะที่พวกเขากำลังตกปลากันอยู่ในทะเลสาปฟลัก (Fulk Lake) แน่นอนว่าเมื่อชาวบ้านในเมืองเริ่มพูดถึงเจ้าเต่าปริศนานี้มากขึ้น จึงมีสำนักงานข่าวเข้ามาร่วมหาคำตอบสิ่งนี้ […]
เวนดิโก ปีศาจร้ายกินเนื้อมนุษย์ จากฝั่งอเมริกา

เวนดิโก หรือสะกดว่าวินดิโก คือตำนานผีที่น่าสยดสยองของชนเผ่าอินเดียนแดงในแถบแคนาดาและสหรัฐอเมริกา เช่น เผ่าครี, เผ่าอินนู และเผ่าซอเท็ก เวนดิโกถือเป็นปีศาจร้ายมีผิวหนังผอมแห้ง มีสีผิวเทาอันหม่นหมองราวกับคนตาย มีดวงตาลึกกลับเข้าไปในเบ้าตาของตัวมันเอง ร่างของมันราวกับโครงกระดูกผอมแห้งเหมือนพึ่งถูกแยกออกมาจากหลุมศพ อีกทั้งยังมีริมฝีปากที่ขาดลิ่วและเต็มไปด้วยคาบเลือด ร่างกายของมันมอซอและมีกลิ่นของความตายและการเน่าเปื่อยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ในทางตอนเหนือของแคนาดาเชื่อกันว่า สิ่งนี้เป็นสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะเหมือนถูกครอบงำด้วยวิญญาณร้ายที่เต็มไปด้วยความโลภที่ไม่รู้จักพอ การหิวโหยเนื้อมนุษย์ และการฆาตรกรรม ทำให้ในพื้นที่เรียกมันว่า “วิญญาณชั่วร้ายที่กินมนุษยชาติ” บางตำนานกล่าวไว้ว่าเวนดิโกมีร่างที่คล้ายกับยักษ์ที่มีหัวใจเป็นน้ำแข็ง บางครั้งว่าร่างก็ทำมาจากน้ำแข็งเช่นกัน ลมหายใจของมันมีเสียงคำรามแปลก ๆ รอยเท้าเต็มไปด้วยเลือดทำให้เวลามันเดินไปไหนก็จะมีรอบเท้าอันใหญ่โตของมันปรากฏอยู่ ตามป่าที่มันอาศัยอยู่จะมีเด็กผู้ชายและผู้หญิงหายไป […]
The Headless Horseman ทหารม้าหัวขาดผู้ตามหาหัวของตน

The Headless Horseman คนหัวขาดขี่ม้าหรือหลายคนคุ้นเคยกันในชื่อว่า “ทหารม้าหัวขาด” เขาเป็นชายไร้หัวร่างใหญ่ที่มาพร้อมกับดาบหรือขวาน มักปรากฎตัวมาด้วยความเยือกเย็นที่ไร้ซึ่งความเมตตาฆ่าฟันล่าหัวของมนุษย์เป็นว่าเล่น คนหัวขาดขี่ม้าเป็นร่างปีศาจที่อยู่ในตำนานพื้นบ้านช่วงยุคกลาง อีกทั้งยังเป็นตัวละครจากเรื่องสั้นปี 1820 “The Legend of Sleepy Hollow” โดยนักเขียนชาวอเมริกัน Washington Irving (วอชิงตัน เออร์วิง) การที่ชายผู้นี้ไร้หัวอาจถูกมองว่าเขาเป็นชายณิรนามรึเปล่า อันที่จริงแล้วในคติชนดั้งเดิมของอเมริกามีความเชื่อว่า ในช่วงการปฏิวัติอเมริกาชายไร้หัวเป็นทหารม้าเฮสเซียนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้กับกองทัพทางอังกฤษในระหว่างสงครามการปฏิวัติอเมริกานั่นเอง โดยในเรื่องเล่าของวอชิงตันเล่าไว้ว่าเขาถูกฆ่าตายในขณะทำสงครามการรบที่ไวท์เพลนส์ในปี 1776 เขาถูกกระสุนปืนใหญ่ของอเมริกันยิงเข้าที่ศีรษะทำให้หัวของเขาขาดและถูกปล่อยทิ้งไว้ในสุสานเก่าของดัตช์ในเมืองสลีปปี้ ฮอลโลว์ เรื่องราวของชายไร้หัวเกิดขึ้นในชุมชนชนบทใกล้หุบเขาเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า “สลิปปี้ ฮอลโลว์” ทางตอนเหนือ […]
จตุรอาชา แห่งวิบัติ 4 ทหารม้าแห่งความชั่วร้าย

จตุรอาชา แห่งวิบัติเป็นตำนานประเภทการพยากรณ์ทำนายสถานการณ์ที่เกี่ยวกับพระเจ้ากับความหายนะที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จตุรอาชาถูกกล่าวถึงในงานหนังสือวิวรณ์ (Book of Revelation) ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายในคัมภีร์ไบเบิล เรื่องของม้าสี่ตัวนี้ปรากฎในตอนที่สี่ของหนังสือ ผู้เขียนคือยอห์นแห่งปัทมอส โดยเขียนขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจให้ชาวคริสเตียนยืนหยัดในความเชื่อ ต่อต้านการกราบไว้จักพรรดิในฐานะพระเจ้าในชสมัยของจักรวรรดิโรมัน คำใบ้เรื่องวันสิ้นโลกที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ใบเบิลนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการบอกใบ้หรือคำทำนายธรรมดา ๆ เพราะสามารถระบุวันเวลาสถานที่ที่จะเกิดเหตุได้ด้วย ในคัมภีร์ไบเบิลบอกเล่าตำนานนี้ไว้อย่างสวยงาม โดยบอกไว้ว่าการที่โลกกำลังจะดับสลายหายไปนี้ก็เหมือนกับการที่พระเจ้ากำลังเปิดทางที่เต็มไปด้วยแสงสว่างเพียงเท่านั้นและเป็นเพียงการเปิดสี่ซองแห่งกาชาของพระเจ้าเท่านั้นเอง ในความเป็นจริงแล้วเป็นตำนานของอัศวินที่ขี่มาทั้งสี่ตัวซึ่งมีทั้งหมดสี่สี ม้าแต่ละตัวจะนำพาความชิพหายมาแตกต่างกันออกไป เริ่มกันที่ตัวแรกม้าสีขาวเป็นม้าที่จะนำพาโรคระบาดต่าง ๆ มาสู่โลก ต่อมาม้าสี่แดงเป็นม้าแห่งสงครามมีดาบประกายไฟสีแดง โดยอำนาจของดาบทำให้มนุษย์อยากเข็ญฆ่ากัน […]
คิตสึเนะ ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง

คิตสึเนะ เป็นสุนัขจิ้งจอกที่มักปรากฏอยู่ในคติชนของญี่ปุ่น ในตำนานและเรื่องเล่าของชาวบ้านเชื่อกันว่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้เป็นสัตว์รับใช้ของเทพอินาริ (เทพแห่งการเพาะปลูก) คิตสึเนะมีลักษณะนิสัยที่มีความคล่องแคล่ว ว่องไว มีไหวพริบที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นคิตสึเนะยังเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายและเล่ห์เหลี่ยมซ่อนไว้อยู่ข้างในไม่น้อยไปกว่าสัตว์ตัวอื่น ๆ ในสายพันธุ์นี้ เจ้าสุนัขจิ้งจอกคิตสึเนะจัดเป็นโยไคจึงมีความสามารถมากจนกระทั่งสามารถเข้าไปปะปนอยู่ในสังคมของมนุษย์ได้ ทีแรกเดิมทีเจ้าสุนัจจิ้งจอกมีพฤติกรรมชอบออกหาอาหารในบริเวณที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ทำให้พวกมันค่อนข้างได้ใกล้ชิดกับมนุษย์อยู่บ่อย ๆ เรื่องที่ชวนให้น่าตื่นเต้นของเจ้าสัตว์ตัวนี้คือมันสามารถสืบทอดทายาทหรือมีลูกกับมนุษย์ได้ แต่หากตัวใดทำพฤติกรรมที่แสดงถึงความเป็นสัตว์ขึ้นมามันจะสามารถกลับกลายเป็นร่างเดิมได้ อีกหนึ่งในตำนานของญี่ปุ่นที่เล่าต่อกันมาคือปกติแล้วเจ้าสุนัขจิ้งจอกคิตสึเนะจะมีหางเพียงแค่ 1 หางเท่านั้น ทว่ามันสามารถมีชีวิตได้ครบ 100 ปีมันจะมีหางงอกขึ้นมาเรื่อย ๆ ในแต่ละปีที่โตขึ้น เมื่อมันมีหางครบทั้ง 9 หางแล้วเมื่อไหร่ เจ้าสุนัขจิ้งจอกนี้ก็จะทำให้วิชาคาถาเวทมนตร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมมีความขังและแข็งแรงขึ้นไปอีก สิ่งนี้จึงทำให้สุนัขจิ้งจอกเก้าหางกลายเป็นหนึ่งในเครื่องรางที่คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าหากใครได้บูชาจะมีสติปัญญาที่ฉลาดหลากแหลมและมีการเรียนที่ดีอีกด้วย นอกจากความเชื่อว่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับใช้ของเทพอินาริแล้ว ในลัทธิชินโตยังเชื่อกันว่าคิตสึเนะเป็นผู้เดินสารของเทพเจ้าอินาริอีกด้วย เจ้าสุนัขจิ้งจอกจึงมีบทบาทในเรื่องเหนือธรรมชาติและมีอิทธิพลต่อสังคมเกษตรกรรมในญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นเครื่องบูชาของคนในพื้นที่ในเรื่องความอุดมสมบูรณ์และเรื่องเกษตรกรรมอย่างมาก บางรูปปั้นของคิตสึเนะมักมีการคาบรวงข้าวไว้ด้วย สื่อความหมายได้ว่าเป็นเครื่องรางในการช่วยการทำนาปลูกข้าวนั่นเอง ในตำนานของเจ้าสุนัขจิ้งจอกสุดเจ้าเล่ห์นี้ได้เล่าไว้ว่า มันมีความสามารถอย่างมากในการใช้เล่ห์กลในการแปลงร่างให้กลายเป็นมนุษย์เมื่อมันกลายเป็นมนุษย์แล้วมันจะมีความรู้สึกนึกคิดและความต้องการคล้ายกับมนุษย์เช่นกัน มันมักหลงใหลไปกับพฤติกรรมของมนุษย์ การสัมผัสทางร่างกาย รวมไปถึงเรื่องเซ็กด้วย เจ้าสุนัขจิ้งจอกมักแปลงร่างเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสะสวย คิ้วคมตาเรียว ผมยาวสลวยชวนให้ชายชาตรีหลายคนตามหลงใหลในตัวนาง มีเรื่องเล่าไว้ว่ามีมนุษย์เพศชายคนหนึ่งตกหลุมพรางของเจ้าสุนัขจิ้งจอกคิตสึเนะที่แปลงกายเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่เดินอยู่คนเดียวท่ามกลางป่าอันเงียบสงัด มันจะทำพฤติกรรมเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างหยิ่งยโส กล่าวคือเมื่อชายหนุ่มสนทนาด้วยก็จะไม่ตอบโดนทันทีแต่จะใช้เล่ห์กลและมนต์สะกดของเธอ ทำให้พวกผู้ชายเหล่านั้นยอมทำตามในสิ่งที่เธอต้องการเสมอ […]